tag:blogger.com,1999:blog-47787627561182726812024-03-19T03:38:38.972-07:00บุญ นิยมบุรครhttp://www.blogger.com/profile/07108004368706593619noreply@blogger.comBlogger9125tag:blogger.com,1999:blog-4778762756118272681.post-44115831213245714942013-02-16T05:25:00.002-08:002013-02-16T05:25:15.342-08:00 ประโยชน์ของทฤษฎีใหม่ <br />
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<u style="background-color: white; font-size: x-large;"><br /></u></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhijfPGd1b79F0HUkOXeqLbN3AJeS7LQM57cyOgYYlX8adKhtXuipo_WxcSnL97v_zidgeQ-VkRWYWGBHVPkyzYUaT__x_91zj_NHtW92OSyFxIP5c9MSHsQGErEAGR1yQAMK1LVXL-KLI/s1600/55.jpg.jpg.1347454523207.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="425" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhijfPGd1b79F0HUkOXeqLbN3AJeS7LQM57cyOgYYlX8adKhtXuipo_WxcSnL97v_zidgeQ-VkRWYWGBHVPkyzYUaT__x_91zj_NHtW92OSyFxIP5c9MSHsQGErEAGR1yQAMK1LVXL-KLI/s640/55.jpg.jpg.1347454523207.jpg" width="640" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<u style="background-color: white; font-size: x-large;"><br /></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u style="background-color: white; font-size: x-large;"><br /></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u style="background-color: white; font-size: x-large;">ประโยชน์ของทฤษฎีใหม่ </u></div>
<div style="text-align: center;">
<u style="background-color: white; font-size: x-large;"><br /></u></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white; text-align: -webkit-left;">๑.ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยาก และเลี้ยงตนเองได้ตามหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง”</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white; text-align: -webkit-left;"><br /></span></div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">๒. ในหน้าแล้งมีน้ำน้อย ก็สามารถเอาน้ำที่เก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่างๆ ที่ใช้น้ำน้อยได้ โดยไม่ต้องเบียดเบียนชลประทาน </span></div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<span style="background-color: white;"><div style="text-align: justify;">
๓.ในปีที่ฝนตกตามฤดูกาลโดยมีน้ำดีตลอดปี ทฤษฎีใหม่นี้สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้โดยไม่เดือดร้อนในเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ </div>
</span><br />
<br />
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<span style="background-color: white;"><div style="text-align: justify;">
๔.ในกรณีที่เกิดอุทกภัย เกษตรกรสามารถที่จะฟื้นตัวและช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยทางราชการไม่ต้องช่วยเหลือมากนัก ซึ่งเป็นการประหยัดงบประมาณด้วย </div>
</span>บุรครhttp://www.blogger.com/profile/07108004368706593619noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4778762756118272681.post-87119730569295426042013-02-16T05:18:00.001-08:002013-02-16T05:18:11.545-08:00หลักการและแนวทางสำคัญ <br />
<div align="left">
</div>
<div style="text-align: center;">
<u style="font-size: x-large;"><br /></u></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbqZNk8RoJTZn908XysLLynZcMREFewbePsbaT8C_4D1BUAwMl9niYkO7yPNVLULAcohq8B9BElqLRhXG-iLJELxrpDni4GaNhOmGp6uSWIL0CeRLBvAiRlD0cz0fpSMvwThs1NWMrGS8/s1600/Sufficient-economy-chart01-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="286" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbqZNk8RoJTZn908XysLLynZcMREFewbePsbaT8C_4D1BUAwMl9niYkO7yPNVLULAcohq8B9BElqLRhXG-iLJELxrpDni4GaNhOmGp6uSWIL0CeRLBvAiRlD0cz0fpSMvwThs1NWMrGS8/s400/Sufficient-economy-chart01-1.jpg" width="400" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<u style="font-size: x-large;"><br /></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u style="font-size: x-large;"><br /></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u style="font-size: x-large;">หลักการและแนวทางสำคัญ<a href="" id="porpeing7" name="porpeing7"></a> </u></div>
<br /><span style="background-color: white; font-size: x-small;">๑. เป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเลี้ยงตัวเองได้ในระดับที่ประหยัดก่อน ทั้งนี้ ชุมชนต้องมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำนองเดียวกับการ “ลงแขก” แบบดั้งเดิมเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานด้วย</span><br />
<div align="left">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"><br />๒. เนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยหลักที่ทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค ดังนั้น จึงประมาณว่าครอบครัวหนึ่งทำนาประมาณ ๕ ไร่ จะทำให้มีข้าวพอกินตลอดปี โดยไม่ต้องซื้อหาในราคาแพง เพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่างมีอิสรภาพ </span></div>
<div align="left">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"><br />๓. ต้องมีน้ำเพื่อการเพาะปลูกสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง หรือระยะฝนทิ้งช่วงได้อย่างพอเพียง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกันที่ดินส่วนหนึ่งไว้ขุดสระน้ำ โดยมีหลักว่าต้องมีน้ำเพียงพอที่จะเพาะปลูกได้ตลอดปี ทั้งนี้ ได้พระราชทานพระราชดำริเป็นแนวทางว่า ต้องมีน้ำ ๑,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ต่อการเพาะปลูก ๑ ไร่ โดยประมาณ ฉะนั้น เมื่อทำนา ๕ ไร่ ทำพืชไร่ หรือไม้ผลอีก ๕ ไร่ (รวมเป็น ๑๐ ไร่) จะต้องมีน้ำ ๑๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อปี</span></div>
<div align="left">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;">ดังนั้น หากตั้งสมมติฐานว่า มีพื้นที่ ๕ ไร่ ก็จะสามารถกำหนดสูตรคร่าวๆ ว่า แต่ละแปลง ประกอบด้วย<br /> - นาข้าว ๕ ไร่<br /> - พืชไร่ พืชสวน ๕ ไร่<br /> - สระน้ำ ๓ ไร่ ขุดลึก ๔ เมตร จุน้ำได้ประมาณ ๑๙,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณน้ำที่เพียงพอที่จะสำรองไว้ใช้ยามฤดูแล้ง<br /> - ที่อยู่อาศัยและอื่นๆ ๒ ไร่<br /> รวมทั้งหมด ๑๕ ไร่<br /> แต่ทั้งนี้ ขนาดของสระเก็บน้ำขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม ดังนี้<br /> - ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรอาศัยน้ำฝน สระน้ำควรมีลักษณะลึก เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหยได้มากเกินไป ซึ่งจะทำให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี<br /> - ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรในเขตชลประทาน สระน้ำอาจมีลักษณะลึก หรือตื้น และแคบ หรือกว้างก็ได้ โดยพิจารณาตามความเหมาะสม เพราะสามารถมีน้ำมาเติมอยู่เรื่อยๆ<br /> การมีสระเก็บน้ำก็เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้อย่างสม่ำเสมอทั้งปี (ทรงเรียกว่า Regulator หมายถึงการควบคุมให้ดี มีระบบน้ำหมุนเวียนใช้เพื่อการเกษตรได้โดยตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าแล้งและระยะฝนทิ้งช่วง แต่มิได้หมายความว่า เกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวนาปรังได้ เพราะหากน้ำในสระเก็บน้ำไม่พอ ในกรณีมีเขื่อนอยู่บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะต้องสูบน้ำมาจากเขื่อน ซึ่งจะทำให้น้ำในเขื่อนหมดได้ แต่เกษตรกรควรทำนาในหน้าฝน และเมื่อถึงฤดูแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงให้เกษตรกรใช้น้ำที่เก็บตุนนั้น ให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตรอย่างสูงสุด โดยพิจารณาปลูกพืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล เพื่อจะได้มีผลผลิตอื่นๆ ไว้บริโภคและสามารถนำไปขายได้ตลอดทั้งปี</span></div>
<div align="left">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"><br />๔. การจัดแบ่งแปลงที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณและคำนึงจากอัตราการถือครองที่ดินถัวเฉลี่ยครัวเรือนละ ๑๕ ไร่ อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรมีพื้นที่ถือครองน้อยกว่านี้ หรือมากกว่านี้ ก็สามารถใช้อัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ เป็นเกณฑ์ปรับใช้ได้ กล่าวคือ<br /> ร้อยละ ๓๐ ส่วนแรก ขุดสระน้ำ (สามารถเลี้ยงปลา ปลูกพืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง ผักกะเฉด ฯลฯ ได้ด้วย) บนสระอาจสร้างเล้าไก่และบนขอบสระน้ำอาจปลูกไม้ยืนต้นที่ไม่ใช้น้ำมากโดยรอบได้<br /> ร้อยละ ๓๐ ส่วนที่สอง ทำนา<br /> ร้อยละ ๓๐ ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไม้เพื่อเป็นเชื้อฟืน ไม้สร้างบ้าน พืชไร่ พืชผัก สมุนไพร เป็นต้น)<br /> ร้อยละ ๑๐ สุดท้าย เป็นที่อยู่อาศัยและอื่นๆ (ทางเดิน คันดิน กองฟาง ลานตาก กองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชสวนครัวหลังบ้าน เป็นต้น)<br /><br />อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวเป็นสูตร หรือหลักการโดยประมาณเท่านั้น สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม โดยขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นที่ดิน ปริมาณน้ำฝน และสภาพแวดล้อม เช่น ในกรณีภาคใต้ที่มีฝนตกชุก หรือพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำมาเติมสระได้ต่อเนื่อง ก็อาจลดขนาดของบ่อ หรือสระเก็บน้ำให้เล็กลง เพื่อเก็บพื้นที่ไว้ใช้ประโชน์อื่นต่อไปได้ </span></div>
<div align="left">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"><br />๕. การดำเนินการตามทฤษฎีใหม่ มีปัจจัยประกอบหลายประการ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ สภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่น ดังนั้น เกษตรกรควรขอรับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ด้วย และที่สำคัญ คือ ราคาการลงทุนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขุดสระน้ำ เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากส่วนราชการ มูลนิธิ และเอกชน </span></div>
<div align="left">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"><br /> ๖. ในระหว่างการขุดสระน้ำ จะมีดินที่ถูกขุดขึ้นมาจำนวนมาก หน้าดินซึ่งเป็นดินดี ควรนำไปกองไว้ต่างหากเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชต่างๆ ในภายหลัง โดยนำมาเกลี่ยคลุมดินชั้นล่างที่เป็นดินไม่ดี หรืออาจนำมาถมทำขอบสระน้ำ หรือยกร่องสำหรับปลูกไม้ผลก็จะได้ประโยชน์อีกทางหนึ่ง</span></div>
<div align="left">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"><br /></span></div>
<div align="left">
</div>
<div style="text-align: center;">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"> </span><u><span style="background-color: white; font-size: x-small;"> </span><strong style="font-size: small;">ตัวอย่างพืชที่ควรปลูกและสัตว์ที่ควรเลี้ยง</strong><strong style="font-size: small;"> </strong></u></div>
<span style="background-color: white; font-size: x-small;">ไม้ผลและผักยืนต้น : มะม่วง มะพร้าว มะขาม ขนุน ละมุด ส้ม กล้วย น้อยหน่า มะละกอ กะท้อน แคบ้าน มะรุม สะเดา ขี้เหล็ก กระถิน ฯลฯ<br />ผักล้มลุกและดอกไม้ : มันเทศ เผือก ถั่วฝักยาว มะเขือ มะลิ ดาวเรือง บานไม่รู้โรย กุหลาบ รัก และซ่อนกลิ่น เป็นต้น<br />เห็ด : เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดเป๋าฮื้อ เป็นต้น<br />สมุนไพรและเครื่องเทศ : หมาก พลู พริกไท บุก บัวบก มะเกลือ ชุมเห็ด หญ้าแฝก และพืชผักบางชนิด เช่น กะเพรา โหระพา สะระแหน่ แมงลัก และตะไคร้ เป็นต้น<br />ไม้ใช้สอยและเชื้อเพลิง : ไผ่ มะพร้าว ตาล กระถินณรงค์ มะขามเทศ สะแก ทองหลาง จามจุรี กระถิน สะเดา ขี้เหล็ก ประดู่ ชิงชัน และยางนา เป็นต้น<br />พืชไร่ : ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วพุ่ม ถั่วมะแฮะ อ้อย มันสำปะหลัง ละหุ่ง นุ่น เป็นต้น พืชไร่หลายชนิดอาจเก็บเกี่ยวเมื่อผลผลิตยังสดอยู่ และจำหน่ายเป็นพืชประเภทผักได้ และมีราคาดีกว่าเก็บเมื่อแก่ ได้แก่ ข้าวโพด ถัวเหลือง ถั่วลิสง ถั่วพุ่ม ถั่วมะแฮะ อ้อย และมันสำปะหลัง<br />พืชบำรุงดินและพืชคลุมดิน : ถั่วมะแฮะ ถั่วฮามาต้า โสนแอฟริกัน โสนพื้นเมือง ปอเทือง ถั่วพร้า ขี้เหล็ก กระถิน รวมทั้งถั่วเขียวและถั่วพุ่ม เป็นต้น และเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วไถกลบลงไปเพื่อบำรุงดินได้<br />หมายเหตุ : พืชหลายชนิดใช้ทำประโยชน์ได้มากกว่าหนึ่งชนิด และการเลือกปลูกพืชควรเน้นพืชยืนต้นด้วย เพราะการดูแลรักษาในระยะหลังจะลดน้อยลง มีผลผลิตทยอยออกตลอดปี ควรเลือกพืชยืนต้นชนิดต่างๆ กัน ให้ความร่มเย็นและชุ่มชื้นกับที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม และควรเลือกต้นไม้ให้สอดคล้องกับสภาพของพื้นที่ เช่น ไม่ควรปลูกยูคาลิปตัสบริเวณขอบสระ ควรเป็นไม้ผลแทน เป็นต้น<br /><br />สัตว์เลี้ยงอื่นๆ ได้แก่<br /> สัตว์น้ำ : ปลาไน ปลานิล ปลาตะเพียนขาว ปลาดุก เพื่อเป็นอาหารเสริมประเภทโปรตีน และยังสามารถนำไปจำหน่ายเป็นรายได้เสริมได้อีกด้วย ในบางพื้นที่สามารถเลี้ยงกบได้<br /> สุกร หรือ ไก่ เลี้ยงบนขอบสระน้ำ ทั้งนี้ มูลสุกรและไก่สามารถนำมาเป็นอาหารปลา บางแห่งอาจเลี้ยงเป็ดได้</span><br />
บุรครhttp://www.blogger.com/profile/07108004368706593619noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4778762756118272681.post-64305844488024323922013-02-16T05:12:00.005-08:002013-02-16T05:12:55.695-08:00ทฤษฎีใหม่ที่สมบูรณ์ <br />
<h3 style="text-align: center;">
<u><span class="style25" style="font-size: 18px;"><br /></span></u></h3>
<h3 style="text-align: center;">
<u><span class="style25" style="font-size: 18px;">ทฤษฎีใหม่ที่สมบูรณ์</span></u> </h3>
<div align="left">
ทฤษฎีใหม่ที่ดำเนินการโดยอาศัยแหล่งน้ำธรรมชาติ น้ำฝน จะอยู่ในลักษณะ “หมิ่นเหม่” เพราะหากปีใดฝนน้อย น้ำอาจจะไม่เพียงพอ ฉะนั้น การที่จะทำให้ทฤษฎีใหม่สมบูรณ์ได้นั้น จำเป็นต้องมีสระเก็บกักน้ำที่มีประสิทธิภาพและเต็มความสามารถ โดยการมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถเพิ่มเติมน้ำในสระเก็บกักน้ำให้เต็มอยู่เสมอ ดังเช่น กรณีของการทดลองที่โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสระบุรี<br /></div>
<div align="left">
<em>ระบบทฤษฎีใหม่ที่สมบูรณ์</em><br /><em>อ่างใหญ่ เติมอ่างเล็ก อ่างเล็ก เติมสระน้ำ</em></div>
<div align="left" style="font-size: 14px;">
<img height="366" src="http://www.chaipat.or.th/chaipat/content/porpeing/p2.jpg" width="400" /></div>
<div align="left">
<span style="font-size: 14px;"> </span> </div>
<div align="left">
จากภาพ วงกลมเล็ก คือสระน้ำที่เกษตรกรขุดขึ้นตามทฤษฎีใหม่ เมื่อเกิดช่วงขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง เกษตรกรสามารถสูบน้ำมาใช้ประโยชน์ได้ และหากน้ำในสระน้ำไม่เพียงพอก็ขอรับน้ำจากอ่างห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ซึ่งได้ทำระบบส่งน้ำเชื่อมต่อทางท่อลงมายังสระน้ำที่ได้ขุดไว้ในแต่ละแปลง ซึ่งจะช่วยให้สามารถมีน้ำใช้ตลอดปี<br />กรณีที่เกษตรกรใช้น้ำกันมาก อ่างห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ก็อาจมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ก็สามารถใช้วิธีการผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ (อ่างใหญ่) ต่อลงมายังอ่างเก็บน้ำห้วยหินขาว (อ่างเล็ก) ก็จะช่วยให้มีปริมาณน้ำมาเติมในสระของเกษตรกรพอตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องเสี่ยง<br />ระบบการจัดการทรัพยากรน้ำตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สามารถทำให้การใช้น้ำมีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด จากระบบส่งท่อเปิดผ่านไปตามแปลงไร่นาต่างๆ ถึง ๓-๕ เท่า เพราะยามหน้าฝน นอกจากจะมีน้ำในอ่างเก็บน้ำแล้ว ยังมีน้ำในสระของราษฎรเก็บไว้พร้อมกันด้วย ทำให้มีปริมาณน้ำเพิ่มอย่างมหาศาล น้ำในอ่างที่ต่อมาสู่สระจะทำหน้าที่เป็นแหล่งน้ำสำรอง คอยเติมเท่านั้นเอง </div>
บุรครhttp://www.blogger.com/profile/07108004368706593619noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4778762756118272681.post-5696170917908238742013-02-16T05:10:00.000-08:002013-02-16T05:27:40.398-08:00ทฤษฎีใหม่<span style="background-color: white; color: white;"><br /></span>
<h2 style="text-align: center;">
<span style="font-weight: normal;"><span style="font-size: large;"><u style="background-color: white;"><br /></u></span></span></h2>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsW3C5a98qPMMwvNSY_JddQye-JEsN6mqRsfm4ePz-4lZVgxpvaKg4P-lqEt8HdfAyElTQp5PyS471c-nrYNGVaqU0w22GeCiqcKrEpH0C-_UrPDREZNf3obcHFRsQLfn0_0E6pGA-OEs/s1600/Economy3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="background-color: white; color: black;"><img border="0" height="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsW3C5a98qPMMwvNSY_JddQye-JEsN6mqRsfm4ePz-4lZVgxpvaKg4P-lqEt8HdfAyElTQp5PyS471c-nrYNGVaqU0w22GeCiqcKrEpH0C-_UrPDREZNf3obcHFRsQLfn0_0E6pGA-OEs/s400/Economy3.jpg" width="400" /></span></a></div>
<h2 style="text-align: center;">
<u style="font-size: x-large; font-weight: normal;"><span style="background-color: white;">ทฤษฎีใหม่</span></u></h2>
<span style="font-size: x-small;"><span style="background-color: white;">ทฤษฎีใหม่ คือ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงที่เด่นชัดที่สุด ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรินี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่มักประสบปัญหาทั้งภัยธรรมชาติและปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการทำการเกษตร ให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤต โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำได้โดยไม่เดือดร้อนและยากลำบากนัก </span></span><br />
<span style="background-color: white;"><span style="font-size: x-small;"><br /></span>
<span style="font-size: x-small;"> </span><u><span style="font-size: x-small;">ความเสี่ยงที่เกษตรกร มักพบเป็นประจำ ประกอบด้วย</span><span style="font-size: x-small;"> </span></u></span><br />
<span style="background-color: white; font-size: x-small;">๑. ความเสี่ยงด้านราคาสินค้าเกษตร ๒. ความเสี่ยงในราคาและการพึ่งพาปัจจัยการผลิตสมัยใหม่จากต่างประเทศ ๓. ความเสี่ยงด้านน้ำ ฝนทิ้งช่วง ฝนแล้ง๔. ภัยธรรมชาติอื่นๆ และโรคระบาด๕. ความเสี่ยงด้านแบบแผนการผลิต - ความเสี่ยงด้านโรคและศัตรูพืช- ความเสี่ยงด้านการขาดแคลนแรงงาน- ความเสี่ยงด้านหนี้สินและการสูญเสียที่ดิน ทฤษฎีใหม่ จึงเป็นแนวทางหรือหลักการในการบริหารการจัดการที่ดินและน้ำ เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด</span><br />
<span style="background-color: white;"><br /></span>
<span style="font-size: x-small;"><u style="background-color: white;"><strong>ความสำคัญของทฤษฎีใหม่</strong><strong> </strong></u></span><br />
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"><b><u><br /></u></b>๑. มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็กออกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกร ซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อน<br />๒. มีการคำนวณโดยใช้หลักวิชาการเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่จะกักเก็บให้พอเพียงต่อการเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสมตลอดปี<br />๓. มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบสำหรับเกษตรกรรายย่อย โดยมีถึง ๓ ขั้นตอน</span><br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-size: x-small;"><u style="background-color: white;"><strong>ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น</strong><strong> </strong></u></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;">ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็น ๔ ส่วน ตามอัตราส่วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ซึ่งหมายถึง </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;">-พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง ประมาณ ๓๐% ให้ขุดสระเก็บกักน้ำเพื่อใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน และใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์และพืชน้ำต่างๆ</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;">-พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันสำหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;">-พื้นที่ส่วนที่สาม ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน หากเหลือบริโภคก็นำไปจำหน่าย</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;">-พื้นที่ส่วนที่สี่ ประมาณ ๑๐% เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอื่นๆ</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"><br /></span></div>
<span style="background-color: white;"><span style="font-size: x-small;"><strong></strong></span><br /></span>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-size: x-small;"><strong><u style="background-color: white;"><strong>ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง</strong><strong> </strong></u></strong></span></div>
<span style="background-color: white;"><span style="font-size: x-small;"><strong>
</strong></span>
</span><br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;">เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง คือให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูป กลุ่ม หรือ สหกรณ์ ร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินการในด้าน </span></div>
<span style="background-color: white; font-size: x-small;">
</span>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white; font-size: x-small;"> (๑) การผลิต (พันธุ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ) </span></div>
<span style="font-size: x-small;"><span style="background-color: white;">
</span><div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"> -เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลิต โดยเริ่ม ตั้งแต่ขั้นเตรียมดิน การหาพันธุ์พืช ปุ๋ย การจัดหาน้ำ และอื่นๆ เพื่อการเพาะปลูก </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"> (๒) การตลาด (ลานตากข้าว ยุ้ง เครื่องสีข้าว การจำหน่ายผลผลิต) </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"> -เมื่อมีผลผลิตแล้ว จะต้องเตรียมการต่างๆ เพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์สูงสุด เช่น การเตรียมลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหายุ้งรวบรวมข้าว เตรียมหาเครื่องสีข้าว ตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตให้ได้ราคาดีและลดค่าใช้จ่ายลงด้วย </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">(๓) การเป็นอยู่ (กะปิ น้ำปลา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ) </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"> -ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร โดยมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น อาหารการกินต่างๆ กะปิ น้ำปลา เสื้อผ้า ที่พอเพียง </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">(๔) สวัสดิการ (สาธารณสุข เงินกู้) </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">-แต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริการที่จำเป็น เช่น มีสถานีอนามัยเมื่อยามป่วยไข้ หรือมีกองทุนไว้กู้ยืมเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">(๕) การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา) </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">-ชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา เช่น มีกองทุนเพื่อการศึกษาเล่าเรียนให้แก่เยาวชนของชมชนเอง </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">(๖) สังคมและศาสนา </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">-ชุมชนควรเป็นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจ โดยมีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว โดยกิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าส่วนราชการ องค์กรเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชุมชนนั้นเป็นสำคัญ </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"><br /></span></div>
<strong><span style="background-color: white;"><div style="text-align: justify;">
<u><strong>ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สาม</strong><strong> </strong></u></div>
</span></strong><div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">เมื่อดำเนินการผ่านพ้นขั้นที่สองแล้ว เกษตรกร หรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สามต่อไป คือติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษัท ห้างร้านเอกชน มาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">ทั้งนี้ ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคาร หรือบริษัทเอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"> - เกษตรกรขายข้าวได้ราคาสูง (ไม่ถูกกดราคา) </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"> -ธนาคารหรือบริษัทเอกชนสามารถซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ำ (ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง) </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">-เกษตรกรซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคได้ในราคาต่ำ เพราะรวมกันซื้อเป็นจำนวนมาก (เป็นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ง) </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">-ธนาคารหรือบริษัทเอกชน จะสามารถกระจายบุคลากร เพื่อไปดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น </span></div>
</span>บุรครhttp://www.blogger.com/profile/07108004368706593619noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4778762756118272681.post-40779181700758555572013-02-16T04:53:00.001-08:002013-02-16T04:58:30.755-08:00พระราชดำริ<br />
<div style="font-size: 14px; text-align: left;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_3G48tgxUdRxQxEw32cWuTfvvYWGGLlAdnlSQwnDb4MLdWsLy4N2uzbzsSBBthF8m60pipDcnH64qqC9nkOhoc0ZqYNwLFmlZaV8PD5cf5uEnkb6thNWhMtSiCHEyCnpG9FB0HpZVCrU/s1600/1k-copy1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_3G48tgxUdRxQxEw32cWuTfvvYWGGLlAdnlSQwnDb4MLdWsLy4N2uzbzsSBBthF8m60pipDcnH64qqC9nkOhoc0ZqYNwLFmlZaV8PD5cf5uEnkb6thNWhMtSiCHEyCnpG9FB0HpZVCrU/s400/1k-copy1.jpg" width="370" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<u><strong><br /></strong></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><strong><br /></strong></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><strong> พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง</strong><strong> </strong></u></div>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-size: x-small;">“...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...” (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗)</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-size: x-small;">“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานมานานกว่า ๓๐ ปี เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งบนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี “สติ ปัญญา และความเพียร” ซึ่งจะนำไปสู่ “ความสุข” ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-size: x-small;">“...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้...” (๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-size: x-small;">พระบรมราโชวาทนี้ ทรงเห็นว่าแนวทางการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียวอาจจะเกิดปัญหาได้ จึงทรงเน้นการมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่ในเบื้องต้นก่อน เมื่อมีพื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงสร้างความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-size: x-small;"> ซึ่งหมายถึง แทนที่จะเน้นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนำการพัฒนาประเทศ ควรที่จะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจพื้นฐานก่อน นั่นคือ ทำให้ประชาชนในชนบทส่วนใหญ่พอมีพอกินก่อน เป็นแนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ เพื่อสร้างพื้นฐานและความมั่นงคงทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนเน้นการพัฒนาในระดับสูงขึ้นไป</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-size: x-small;"> ทรงเตือนเรื่องพออยู่พอกิน ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ คือ เมื่อ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว</span><span style="font-size: x-small;"> </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-size: x-small;"> แต่ทิศทางการพัฒนามิได้เปลี่ยนแปลง</span><span style="font-size: x-small;"> </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="font-size: x-small;"> “...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย...” (๔ ธันวาคม ๒๕๔๑)</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<strong style="font-size: 14px;"><u>ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง</u></strong><strong style="font-size: 14px;"> </strong></div>
<div style="font-size: 14px; text-align: left;">
<div style="text-align: justify;">
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในภายนอก ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการ ทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี</div>
<div style="text-align: justify;">
<strong> <u>ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ</u> </strong>ดังนี้<strong> </strong></div>
<div style="text-align: justify;">
๑. <u>ความพอประมาณ</u> หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ</div>
<div style="text-align: justify;">
๒. <u>ความมีเหตุผล</u> หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ</div>
<div style="text-align: justify;">
๓. <u>ภูมิคุ้มกัน</u> หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต</div>
</div>
<div style="font-size: 14px; text-align: left;">
<div style="text-align: justify;">
โดยมี <strong>เงื่อนไข</strong> ของการตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง ๒ ประการ ดังนี้</div>
<div style="text-align: justify;">
๑. <u>เงื่อนไขความรู้</u> ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในการปฏิบัติ</div>
<div style="text-align: justify;">
๒. <u>เงื่อนไขคุณธรรม</u> ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักใน คุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต</div>
</div>
<div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
</div>
บุรครhttp://www.blogger.com/profile/07108004368706593619noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4778762756118272681.post-61050996248369427332013-02-12T23:02:00.002-08:002013-02-12T23:02:44.612-08:00ประเทศไทยกับเศรษฐกิจพอเพียง <br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiw9aEVU_IJyq9kINyaB-lyzaqBTIa5ctWWJQjz6mIDbD7Y5s5hi_sTAC0v_cm_Et1EQjTEoAJpCuldhodkn3cd3MMDbNd3-JXwsLh-N_JUNpOgEFHyQW9WZe-SI7pKbmle-e8UdM3Pecc/s1600/king4%5B1%5D.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="226" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiw9aEVU_IJyq9kINyaB-lyzaqBTIa5ctWWJQjz6mIDbD7Y5s5hi_sTAC0v_cm_Et1EQjTEoAJpCuldhodkn3cd3MMDbNd3-JXwsLh-N_JUNpOgEFHyQW9WZe-SI7pKbmle-e8UdM3Pecc/s320/king4%5B1%5D.jpg" uea="true" width="320" /></a></div>
<br />
<strong><u>ประเทศไทยกับเศรษฐกิจพอเพียง </u></strong><a href="http://www.blogger.com/null" id="porpeing4" name="porpeing4"></a><br /><br />เศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้ผู้ผลิต หรือผู้บริโภค พยายามเริ่มต้นผลิต หรือบริโภคภายใต้ขอบเขต ข้อจำกัดของรายได้ หรือทรัพยากรที่มีอยู่ไปก่อน ซึ่งก็คือ หลักในการลดการพึ่งพา เพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมการผลิตได้ด้วยตนเอง และลดภาวะการเสี่ยงจากการไม่สามารถควบคุมระบบตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ <br />เศรษฐกิจพอเพียงมิใช่หมายความถึง การกระเบียดกระเสียนจนเกินสมควร หากแต่อาจฟุ่มเฟือยได้เป็นครั้งคราวตามอัตภาพ แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศ มักใช้จ่ายเกินตัว เกินฐานะที่หามาได้ <br />
<div align="left">
ศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำไปสู่เป้าหมายของการสร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจได้ เช่น โดยพื้นฐานแล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เศรษฐกิจของประเทศจึงควรเน้นที่เศรษฐกิจการเกษตร เน้นความมั่นคงทางอาหาร เป็นการสร้างความมั่นคงให้เป็นระบบเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง จึงเป็นระบบเศรษฐกิจที่ช่วยลดความเสี่ยง หรือความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้ <br />เศรษฐกิจพอเพียง สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ทุกสาขา ทุกภาคของเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นจะต้องจำกัดเฉพาะแต่ภาคการเกษตร หรือภาคชนบท แม้แต่ภาคการเงิน ภาคอสังหาริมทรัพย์ และการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ <br />โดยมีหลักการที่คล้ายคลึงกันคือ เน้นการเลือกปฏิบัติอย่างพอประมาณ มีเหตุมีผล และสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเองและสังคม </div>
บุรครhttp://www.blogger.com/profile/07108004368706593619noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4778762756118272681.post-88418494598316108392013-02-12T22:58:00.000-08:002013-02-16T04:54:21.551-08:00พระราชดำรัส<strong> </strong><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdFTIazWQF_pgrG3kc4hx2izVOZnJq_itgOPWW3QgK02BpOst9_oqiCHYnPrYyPt3a2bcZvxxbZwRQwFA5N7q7td4OFGeZFF5J5HR8S6uyU_a-ACMO4xdQpOp2o8mLSuvaoMe_lnmM_dc/s1600/7899.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="318" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdFTIazWQF_pgrG3kc4hx2izVOZnJq_itgOPWW3QgK02BpOst9_oqiCHYnPrYyPt3a2bcZvxxbZwRQwFA5N7q7td4OFGeZFF5J5HR8S6uyU_a-ACMO4xdQpOp2o8mLSuvaoMe_lnmM_dc/s320/7899.jpg" uea="true" width="320" /></a></div>
<br />
<br />
<br />
<br />
<strong> <u> พระราชดำรัสที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง </u></strong><a href="http://www.blogger.com/null" id="porpeing3" name="porpeing3"></a><br />
“...เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาของเศรษฐกิจ การที่ต้องใช้รถไถต้องไปซื้อ เราต้องใช้ต้องหาเงินมาสำหรับซื้อน้ำมันสำหรับรถไถ เวลารถไถเก่าเราต้องยิ่งซ่อมแซม แต่เวลาใช้นั้นเราก็ต้องป้อนน้ำมันให้เป็นอาหาร เสร็จแล้วมันคายควัน ควันเราสูดเข้าไปแล้วก็ปวดหัว ส่วนควายเวลาเราใช้เราก็ต้องป้อนอาหาร ต้องให้หญ้าให้อาหารมันกิน แต่ว่ามันคายออกมา ที่มันคายออกมาก็เป็นปุ๋ย แล้วก็ใช้ได้สำหรับให้ที่ดินของเราไม่เสีย...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๙ <br />
<div align="left">
“...เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่าแบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละคือเมตตากัน จะอยู่ได้ตลอดไป...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔ </div>
<div align="left">
“...ตามปกติคนเราชอบดูสถานการณ์ในทางดี ที่เขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นว่าประเทศไทย เรานี่ก้าวหน้าดี การเงินการอุตสาหกรรมการค้าดี มีกำไร อีกทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าเรากำลังเสื่อมลงไปส่วนใหญ่ ทฤษฎีว่า ถ้ามีเงินเท่านั้นๆ มีการกู้เท่านั้นๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า แล้วก็ประเทศก็เจริญมีหวังว่าจะเป็นมหาอำนาจ ขอโทษเลยต้องเตือนเขาว่า จริงตัวเลขดี แต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวังในความต้องการพื้นฐานของประชาชนนั้นไม่มีทาง...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา </div>
<div align="left">
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๖</div>
<div align="left">
“...เดี๋ยวนี้ประเทศไทยก็ยังอยู่ดีพอสมควร ใช้คำว่า พอสมควร เพราะเดี๋ยวมีคนเห็นว่ามีคนจน คนเดือดร้อน จำนวนมากพอสมควร แต่ใช้คำว่า พอสมควรนี้ หมายความว่าตามอัตตภาพ...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙ </div>
<div align="left">
“...ที่เป็นห่วงนั้น เพราะแม้ในเวลา ๒ ปี ที่เป็นปีกาญจนาภิเษกก็ได้เห็นสิ่งที่ทำให้เห็นได้ว่า ประชาชนยังมีความเดือดร้อนมาก และมีสิ่งที่ควรจะแก้ไขและดำเนินการต่อไปทุกด้าน มีภัยจากธรรมชาติกระหน่ำ ภัยธรรมชาตินี้เราคงสามารถที่จะบรรเทาได้หรือแก้ไขได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาพอใช้ มีภัยที่มาจากจิตใจของคน ซึ่งก็แก้ไขได้เหมือนกัน แต่ว่ายากกว่าภัยธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งนอกกายเรา แต่นิสัยใจคอของคนเป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน อันนี้ก็เป็นข้อหนึ่งที่อยากให้จัดการให้มีความเรียบร้อย แต่ก็ไม่หมดหวัง...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙ </div>
<div align="left">
“...การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙. </div>
<div align="left">
“...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ </div>
<div align="left">
“...พอเพียง มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอ ก็พอเพียงนี้ก็พอแค่นั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมี มีมากอาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น...” <br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ </div>
<div align="left">
“...ไฟดับถ้ามีความจำเป็น หากมีเศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่เต็มที่ เรามีเครื่องปั่นไฟก็ใช้ปั่นไฟ หรือถ้าขั้นโบราณกว่า มืดก็จุดเทียน คือมีทางที่จะแก้ปัญหาเสมอ ฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงก็มีเป็นขั้นๆ แต่จะบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ให้พอเพียงเฉพาะตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์นี่เป็นสิ่งทำไม่ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน ถ้ามีการช่วยกัน แลกเปลี่ยนกัน ก็ไม่ใช่พอเพียงแล้ว แต่ว่าพอเพียงในทฤษฎีในหลวงนี้ คือให้สามารถที่จะดำเนินงานได้...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒ </div>
<div align="left">
“...โครงการต่างๆ หรือเศรษฐกิจที่ใหญ่ ต้องมีความสอดคล้องกันดีที่ไม่ใช่เหมือนทฤษฎีใหม่ ที่ใช้ที่ดินเพียง ๑๕ ไร่ และสามารถที่จะปลูกข้าวพอกิน กิจการนี้ใหญ่กว่า แต่ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ เหมือนสร้างเขื่อนป่าสักก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน เขานึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ห่างไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง แต่ที่จริงแล้ว เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน...”<br />
พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา <br />
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒ </div>
<div align="left">
“...ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียงความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือทำจากรายได้ ๒๐๐-๓๐๐ บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท คนชอบเอาคำพูดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง คือทำเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมายไม่ใช่แบบที่ฉันคิด ที่ฉันคิดคือเป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดูทีวี ก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกลๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดูแต่ใช้แบตเตอรี่ เขาไม่มีไฟฟ้า แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรียบเสมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่ และยังใส่เนคไทเวอร์ซาเช่ อันนี้ก็เกินไป...” <br />
พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล <br />
๑๗ มกราคม ๒๕๔๔ </div>
บุรครhttp://www.blogger.com/profile/07108004368706593619noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4778762756118272681.post-68521972622655945432013-02-12T22:52:00.001-08:002013-02-23T04:35:09.976-08:00จุดเริ่มต้น<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjpRdMcnsiaiAYvj0-a0APuEMQK99I7Svm-IldcbOXNEqzmfjDDmF8R8XS5egpjtb_BbvwsiB3TZxx-UygeustbLsPn12gTHQXUse68KbusbrJoYJnhVGd2Tzd4kWHT6xgRvhfbaD0ADuM/s1600/il_5994.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjpRdMcnsiaiAYvj0-a0APuEMQK99I7Svm-IldcbOXNEqzmfjDDmF8R8XS5egpjtb_BbvwsiB3TZxx-UygeustbLsPn12gTHQXUse68KbusbrJoYJnhVGd2Tzd4kWHT6xgRvhfbaD0ADuM/s320/il_5994.jpg" uea="true" width="251" /></a></div>
<div style="text-align: left;">
<strong> <u> จุดเริ่มต้นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง</u></strong><a href="http://www.blogger.com/null" id="porpeing1" name="porpeing1"></a><br />
<br />
<strong></strong>ผลจากการใช้แนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่สังคมไทยอย่างมากในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม สังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งกระบวนการของความเปลี่ยนแปลงมีความสลับซับซ้อนจนยากที่จะอธิบายในเชิงสาเหตุเพราะการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดต่างเป็นปัจจัยเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน <br />
สำหรับผลของการพัฒนาในด้านบวกนั้น ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเจริญทางวัตถุ และสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบสื่อสารที่ทันสมัย หรือการขยายปริมาณและกระจายการศึกษาอย่างทั่วถึงมากขึ้น แต่ผลด้านบวกเหล่านี้ส่วนใหญ่กระจายไปถึงคนในชนบท หรือผู้ด้อยโอกาสในสังคมน้อย <br />
แต่ว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้เกิดผลลบติดตามมาด้วย เช่น การขยายตัวของรัฐเข้าไปในชนบท ได้ส่งผลให้ชนบทเกิดความอ่อนแอในหลายด้าน ทั้งการต้องพึ่งพิงตลาดและพ่อค้าคนกลางในการสั่งสินค้าทุน ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ระบบความสัมพันธ์แบบเครือญาติ และการรวมกลุ่มกันตามประเพณีเพื่อการจัดการทรัพยากรที่เคยมีอยู่แต่เดิมแตกสลายลง ภูมิความรู้ที่เคยใช้แก้ปัญหาและสั่งสมปรับเปลี่ยนกันมาถูกลืมเลือนและเริ่มสูญหายไป <br />
สิ่งสำคัญ ก็คือ ความพอเพียงในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่ทำให้คนไทยสามารถพึ่งตนเอง และดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีภายใต้อำนาจและความมีอิสระในการกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง ความสามารถในการควบคุมและจัดการเพื่อให้ตนเองได้รับการสนองตอบต่อความต้องการต่างๆ รวมทั้งความสามารถในการจัดการปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นศักยภาพพื้นฐานที่คนไทยและสังคมไทยเคยมีอยู่แต่เดิม ต้องถูกกระทบกระเทือน ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจจากปัญหาฟองสบู่และปัญหาความอ่อนแอของชนบท รวมทั้งปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นข้อพิสูจน์และยืนยันปรากฎการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี </div>
<div align="left">
<strong>พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง</strong><strong> </strong><a href="http://www.blogger.com/null" id="porpeing2" name="porpeing2"></a><br />
<br />
“...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...” (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗)<br />
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานมานานกว่า ๓๐ ปี <strong>เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย</strong> เป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งบนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี <strong>“สติ ปัญญา และความเพียร”</strong> ซึ่งจะนำไปสู่ <strong>“ความสุข”</strong> ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง<br />
“...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่<strong>เราอยู่พอมีพอกิน</strong> และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้...” (๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)<br />
พระบรมราโชวาทนี้ ทรงเห็นว่าแนวทางการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียวอาจจะเกิดปัญหาได้ <strong>จึงทรงเน้นการมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่ในเบื้องต้นก่อน</strong> เมื่อมีพื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงสร้างความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น <br />
ซึ่งหมายถึง แทนที่จะเน้นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนำการพัฒนาประเทศ ควรที่จะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจพื้นฐานก่อน นั่นคือ <strong>ทำให้ประชาชนในชนบทส่วนใหญ่พอมีพอกินก่อน</strong> เป็นแนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ เพื่อสร้างพื้นฐานและความมั่นงคงทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนเน้นการพัฒนาในระดับสูงขึ้นไป <br />
<strong> ทรงเตือนเรื่องพออยู่พอกิน ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ คือ เมื่อ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว</strong><strong> </strong><br />
<strong> แต่ทิศทางการพัฒนามิได้เปลี่ยนแปลง</strong><strong> </strong><br />
“...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย...” (๔ ธันวาคม ๒๕๔๑)</div>
<div align="left">
<strong>เศรษฐกิจพอเพียง</strong><strong> </strong><br />
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำริชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า ๒๕ ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ </div>
<div align="left">
<strong>ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง</strong><strong> </strong><br />
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในภายนอก ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการ ทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี <br />
<strong> ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ </strong>ดังนี้<strong> </strong><br />
๑. <u>ความพอประมาณ</u> หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ <br />
๒. <u>ความมีเหตุผล</u> หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ <br />
๓. <u>ภูมิคุ้มกัน</u> หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต </div>
<div align="left">
โดยมี <strong>เงื่อนไข</strong> ของการตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง ๒ ประการ ดังนี้ <br />
๑. <u>เงื่อนไขความรู้</u> ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในการปฏิบัติ <br />
๒. <u>เงื่อนไขคุณธรรม</u> ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักใน คุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต </div>
บุรครhttp://www.blogger.com/profile/07108004368706593619noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4778762756118272681.post-33827269072507506922013-02-05T23:57:00.000-08:002013-02-23T04:34:07.382-08:00เศรษฐกิจพอเพียง<span class="Apple-style-span" style="background-color: white; font-family: Tahoma, 'Ms Sans Serif', sans-serif, Thonburi, Helvetica; font-size: 12px;"></span><br />
<div align="left">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<span style="color: black; font-size: small;"><strong><span style="color: red;"><br /></span></strong></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u></u></div>
<div align="left">
<strong><span style="color: red;"></span></strong><br />
<div align="center">
<strong><span style="color: red;"><strong><span style="color: black;"><strong><u><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgF6m-JYiWw32o02uBci6koT9JoHpVJnHoqUiduadjIW2UmMm3S6ZzaAHheJwQNxyDjrBD7BtqoDyaxCZvdYU2mNoCS2eERfje4msXkCyJUuqeLU2Q4PtfjfcsfABXvluewmc6grzVbpHQ/s1600/1179.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgF6m-JYiWw32o02uBci6koT9JoHpVJnHoqUiduadjIW2UmMm3S6ZzaAHheJwQNxyDjrBD7BtqoDyaxCZvdYU2mNoCS2eERfje4msXkCyJUuqeLU2Q4PtfjfcsfABXvluewmc6grzVbpHQ/s320/1179.jpg" uea="true" width="320" /></a></u></strong></span></strong></span></strong></div>
<strong><span style="color: red;">
</span></strong>
<br />
<div align="center">
<strong><span style="color: red;"><u><span style="color: black;">เศรษฐกิจพอเพียง</span></u></span></strong></div>
<strong><span style="color: red;">
</span></strong></div>
<br />
<span style="color: black;">พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานในวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ คือ องค์อรรถาธิบายได้ดีกว่าการหยิบยกเหตุและผลมาร้อยเรียง<br />“ปีที่แล้วพูดว่า เศรษฐกิจพอเพียง เพราะหาคำอื่นไม่ได้ และได้พูดอย่างหนึ่งว่า เศรษฐกิจพอเพียงนี้ให้ปฏิบัติเพียงครึ่งเดียว คือ ไม่ต้องทั้งหมด หรือแม้จะเศษ ๑ ส่วน ๔ ก็พอ ไม่ได้แปลว่าเศษ ๑ ส่วน ๔ ของพื้นที่แต่เศษ ๑ ส่วน ๔ ของการกระทำ </span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<span style="color: black;">หมายความว่า วิธีปฏิบัติเศรษฐกิจพอเพียงนั้นไม่ต้องทำทั้งหมด และขอเติมว่า ถ้าทำทั้งหมดก็จะทำไม่ได้ถ้าครอบครัวหนึ่งแม้หมู่บ้านหนึ่งทำเศรษฐกิจพอเพียง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็จะเป็นการถอยหลังถึงสมัยหิน สมัยคนอยู่ในอุโมงค์หรือในถ้ำ ซึ่งไม่ต้องอาศัยหมู่อื่น เพราะว่าหมู่อื่นเป็นศัตรูทั้งนั้น ตีกัน ไม่ใช่ร่วมมือกัน จึงต้องทำเศรษฐกิจพอเพียง แต่ละคนต้องหาที่อยู่ ก็หาอุโมงค์ หาถ้ำ ต้องหาอาหาร คือ ไปเด็ดผลไม้หรือใบไม้ตามที่มีหรือไปใช้อาวุธที่ได้สร้างได้ประดิษฐ์เองไปล่าสัตว์ กลุ่มที่อยู่ในอุโมงค์ในถ้ำนั้น ก็มีเศรษฐกิจพอเพียง เปอร์เซ็นต์ก็ปฏิบัติได้</span></div>
<span style="color: black;">แต่ต่อมาเมื่อออกจากถ้ำ ได้สร้างบ้านเป็นที่อาศัยก็เริ่มจะเป็นเศรษฐกิจพอเพียง เพราะมีคนผ่านไปมาซึ่งไม่ได้เป็นศัตรู เอาอะไร ๆ มาแลกเปลี่ยนกัน เช่น คนที่มาจากแดนไกลผ่านมามีหนังสัตว์ที่เหมาะสมจะใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ก็ซื้อด้วยการแลกเปลี่ยนกับปลาที่จับได้ในบึง อย่างนี้ก็ไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง เวลาล่วงมาถึงปัจจุบัน ถ้าคนจะปฏิบัติเศรษฐกิจพอเพียง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คงทำไม่ได้ และถ้าสำรวจตัวเองหรือเศรษฐกิจของตนเอง ก็เข้าใจว่าจะเห็นได้ว่าไม่ได้ทำ เข้าใจว่าทำได้ไม่ถึง ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ถึง เศษ ๑ ส่วน ๔ ก็ควรจะพอและทำได้ อันนี้เป็นข้อหนึ่งที่จะอธิบายคำพูดที่พูดมาเมื่อปีที่แล้ว</span><br />
<span style="color: black;">คำว่า “พอเพียง” มีความหมายอีกอย่างหนึ่งมีความหมายกว้างออกไปอีก ไม่ได้หมายถึงการมีพอสำหรับใช้เองเท่านั้น แต่มีความหมายว่าพอมีพอกิน สมัยก่อนนี้พอมีพอกิน มาสมัยนี้ชักไม่พอมีพอกินจึงต้องมีนโยบายที่จะทำให้เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อที่จะให้ทุกคนมีพอเพียงได้</span><br />
<span style="color: black;">ให้พอเพียงนี้หมายความว่า มีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือยไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ แม้บางอย่างจะดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรทำ สมควรที่จะปฏิบัติอันนี้ก็ความหมายอีกอย่างของเศรษฐกิจหรือระบบพอเพียง</span><br />
<span style="color: black;">เมื่อปีที่แล้วตอนที่พูดพอเพียง แปลในใจแล้วก็ได้พูดออกมาด้วยว่าจะแปลเป็น Self-sufficiency (พึ่งตนเอง) ถึงได้บอกว่า พอเพียงแก่ตนเอง แต่ความจริงเศรษฐกิจพอเพียง กว้างขวางกว่า Self-sufficiency </span><br />
<span style="color: black;">Self-sufficiency นั้นหมายความว่า ผลิตอะไรที่มีพอที่จะใช้ ไม่ต้องไปขอซื้อคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง (พึ่งตนเอง) แต่พอเพียงนี้มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีกคือคำว่าพอก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอ ดังนั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อยเมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเยียนคนอื่นน้อย</span><br />
<span style="color: black;">ถ้าทุกประเทศมีความคิด อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจมีความคิดว่า ทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุขพอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่นต้องให้พอประมาณตามอัตภาพพูดจาก็พอเพียงทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง</span><br />
<span style="color: black;">ถ้าหากต้องการเบียดเบียนอย่างนั้นก็เดือนร้อนกันแน่เพราะว่าอึดอัด จะทำให้ทะเลากัน เมื่อมีการทะเลาะกันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย จากการทะเลาะด้วยวาจาก็กลายเป็นการทะเลาะด้วยกาย ซึ่งในที่สุดก็นำมาสู่ความเสียหาย เสียหายแก่ผู้ที่เป็นตัวละครทั้งสองคนถ้าเป็นการตีกันอย่างรุนแรงได้ ซึ่งจะทำให้คนอื่นอีกมากเดือนร้อน</span><br />
<span style="color: black;">ฉะนั้นความพอเพียงนี้ก็แปลว่า ความพอประมาณและความมีเหตุผล”</span><br />
<span style="color: black;">เมื่อยกแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงแนะแนวทางการดำเนินชีวิตมาปฏิบัติ จะพบในเชิงประจักษ์ว่า ผู้ที่นำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้จะสามารถยกระดับรายได้ ลดรายจ่าย เพิ่มขีดความสามารถในการทำมาหาได้ ปากท้องอิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในหลากหลายพื้นที่</span>บุรครhttp://www.blogger.com/profile/07108004368706593619noreply@blogger.com0